วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

หลักและแนวคิดวิธีระบบ



หลักและแนวคิดวิธีระบบ


ระบบ คืออะไร

ภาพรวมของหน่วยสมบูรณ์ที่ประกอบด้วยหน่วยย่อย
ที่เป็นอิสระแต่มีความสัมพันธ์และมีปฏิสัมพันธ์
ซึ่งกันและกันโดยมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน

ระบบจะต้องมี


1.องค์ประกอบย่อย
2.องค์ประกอบย่อยนั้นต้องมีความสัมพันธ์กัน มีการโต้ตอบ
มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
3.ระบบต้องมีเป้าหมายในการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ
4.กลไกการควบคุมเพื่อให้ทำงานตามจุดมุ่งหมาย

การทำงานของระบบ


Input : ปัจจัยนำเข้า

 เป็นการป้อนวัตถุดิบหรือข้อมูลต่างๆ

การตั้งปัญหาการตั้งวัตถุประสงค์ 

เพื่อดำเนินงานในระบบนั้น

Process : กระบวนการ

เป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
ที่ป้อนเข้ามาเพื่อดำเนินการตาม
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
(เป็นขั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง)

Control  : ควบคุม

เป็นการควบคุมและตรวจสอบเพื่อให้
การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างมี
ประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์อย่างมีคุณภาพ

Output : ผลลัพธ์

 เป็นผลผลิตที่ได้ออกมาภายหลังจาก
การดำเนินงานใจขั้นของกระบวนการสิ้นสุดลง
รวมถึงการประเมินด้วย

Feedback : ข้อมูลป้อนกลับ

  เป็นการนำเอาผลลัพธ์ที่ประเมินนั้นมา
พิจารณาว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง
เพื่อจะได้ทำการปรับปรุงแก้ไข
ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลักษณะของระบบที่ดี

1. มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Interact with environment)
2. มีจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมาย (Purpose)
3. มีการรักษาสภาพตนเอง (Self-regulation)
4. มีการแก้ไขตนเอง (Self-correction)

ระบบเปิดและระบบปิด

ระบบเปิด คือ ระบบที่รับปัจจัยนำเข้า(Input)
จากสิ่งแวดล้อและขณะเดียวกันก็ส่งผลผลิต(Output)
กลับไปให้สิ่งแวดล้อมอีกครั้งหนึ่ง เช่น ระบบสังคม 
ระบบการศึกษา ระบบหายใจ ฯลฯ

ระบบปิด คือ ระบบที่มิได้รับปัจจัยนำเข้าจากสิ่งแวดล้อม
หรือรับปัจจัยนำเข้าจากสิ่งแวดล้อมน้อยมาก
แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลผลิต(Output)
ให้กับสิ่งแวดล้อมได้ด้วย เช่น ระบบไฟฉาย 
ระบบแบตเตอร์รี่ ฯลฯ

การคิดอย่างมีระบบคือ


การพิจารณาปฏิสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องระหว่าง    
การดำเนินงานและองค์ประกอบทั้งหลายในระบบมิใช่
มองเพียงจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น


วิธีระบบ (Systems approach)


เป็นการวางแผนระบบใหม่หรือพัฒนาระบบให้ดีขึ้นหลัง
การวิเคราะห์ระบบแล้วโดยกำหนดขั้นตอนที่เหมาะสม 
จัดวางปรัชญา ปณิธาน จุดมุ่งหมาย องค์ประกอบ
 ภารกิจ ปฏิสัมพันธ์ ปัจจัยเกื้อหนุน และการประเมินเพื่อ
ประสิทธิภาพของงาน

ตัวอย่างวิธีระบบ

1. วิเคราะห์
2. สังเคราะห์
3. สร้างแบบจำลอง 
4. ทดลองใช้และประเมินผลเพื่อปรับปรุงแก้ไข

กระบวนการแก้ปัญหาด้วยวิธีระบบ

1. กำหนดปัญหา
2. กำหนดขอบข่ายของปัญหา
3. วิเคราะห์ปัญหา
4. กำหนดแนวทางแก้ปัญหา
5. การเลือกแนวทางแก้ปัญหา 
6. วางแผนเตรียมการแก้ปัญหา 
7. นำไปทดลองกับกลุ่มย่อย 
8. ควบคุมตรวจสอบเพื่อปรับปรุงแก้ไข

การพัฒนาระบบ

1. กำหนดภาพรวม สร้างภาพขึ้นในสมอง
2. รวบรวมข้อมูลเพื่อกำหนดจุดมุ่งหมาย
3. กำหนดคุณลักษณะ ความสามารถของระบบ
(อยากให้ระบบทำอะไรได้บ้าง)
4. ศึกษา กำหนดองค์ประกอบต่างๆ
5. กำหนดหน้าที่ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ
6. กำหนดกลไกการทำงาน กลไกการควบคุมเพื่อให้ได้ตาม
จุดมุ่งหมาย  
7. ศึกษาสภาพแวดล้อมเพื่อการใช้ระบบ

กรอบแนวคิดในการออกแบบและพัฒนาการสอน

-จะออกแบบและพัฒนาโปรแกรมนี้ไว้เพื่อใคร
(วิเคราะห์ผู้เรียน)
-ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนอะไร หรือมีความสามารถที่
จะทำอะไรได้บ้าง (กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียน)
-ผู้เรียนจะเรียนรู้เนื้อหาวิชา/ทักษะต่างๆได้ดีที่สุดอย่างไร
(กำหนดวิธีสอนและกิจกรรมการเรียน)
-จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้
 (กระบวนการประเมิน)

ตัวอย่างรูปแบบการออกแบบและการพัฒนาการสอน

-The Kemp Model
-Dick and Carey
-IDI
-IPISD



วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

ระบบการสอนของ The Kemp Model, Dick and Carey

1. ยกตัวอย่างระบบในชีวิตประจำวันหรืออื่น ๆ ที่ชัดเจนมา 1 ระบบ เช่น ระบบการย่อยอาหาร เป็นต้น พร้อมอธิบายว่าสิ่งนั้นเป็นระบบได้อย่างไร
คำตอบ        
ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นระบบเนื่องจากระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นจะมีส่วนย่อยๆที่สัมพันธ์กันและมีปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน
ซึ่งจะประกอบไปด้วย
1.หน่วยรับข้อมูล 2.หน่วยประมวลผลกลาง 3.หน่วยความจำหลัก
4.หน่วยความจำสำรอง 5.หน่วยแสดงผล
ระบบการทำงานคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นจากองค์ประกอบต่างๆ  เริ่มด้วยเมื่อมีการกดปุ่มเครื่องคอมพิวเตอร์  โปรแกรมที่อยู่ในหน่วยความจำหลัก  จะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมที่ใช้ทำงาน  เมื่อตรวจสอบเสร็จคอมพิวเตอร์จะแสดงให้เห็นว่าพร้อมที่จะทำงาน  ก็จะมีการป้อนคำสั่งหรือข้อมูลโดยผ่านหน่วยรับข้อมูล  แล้วนำไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำหลัก  จากนั้น หน่วยประมวลผลกลางก็จะทำตามคำสั่งของโปรแกรมที่เรียกว่า  การประมวลผล  แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้เก็บไว้ที่ หน่วยความจำ  และจะแสดงผลลัพธ์ผ่านหน่วยแสดงผลเมื่อมีคำสั่งให้แสดงผลลัพธ์
2.นิสิตเคยไม่พอใจสภาพอะไรเกี่ยวกับการดำเนินงานของตัวเองบ้าง เช่น เงินไม่พอใช้ชนเดือน มาเรียน ไม่ทัน ฯลฯ จงวิเคราะห์และแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยวิธีระบบ
คำตอบ
เคยไม่พอใจกับการที่ตัวเองที่ใช้เงินไม่พอชนเดือนของตัวเองค่ะ  ดิฉันสามารถนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากตัวของดิฉันมาวิเคราะห์จากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้คือ ดิฉันจัดการกับระบบการเงินของดิฉันไม่เป็นสัดส่วน ใช้เงินในทางที่ไม่จำเป็นมากจนเกินไป เช่น การที่นำเงินไปซื้อของที่ไม่จำเป็นทำให้เกิดปัญหาเงินไม่พอใช้ วิธีการแก้ไขปัญหาได้ด้วยวิธีระบบของดิฉันก็คือ
1.คำนึงถึงปัญหาของตัวเอง ปัญหาก็คือการใช้เงินที่มากเกินไป
2.เหตุผลของปัญหาคือการที่ใช้เงินในการซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็น
3.นำเหตุผลในการใช้เงินของตัวเองมา วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็คือ การใช้เงินแต่ละครั้งที่จะซื้อของอะไรไม่คำนึงถึงเงินที่จะอยู่รอดให้ถึงเดือน
4.วางแผนการใช้เงิน ก็คือ จากการที่ได้เงินเดือนมาดิฉันจะต้องแบ่งเงินเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่1 คือ เงินที่ใช้จ่ายประจำวันของแต่ละวัน   ส่วนที่2 คือ เงินฉุกเฉิน (ในกรณีที่เงินในการใช้จ่ายไม่พอ) ส่วนที่3 คือ เงินออม (เงินเก็บสะสม)
5.วางแผนการใช้จ่ายในแต่ละวันของตัวเอง
6. จดบันทึกและทำบัญชีรายรับรายจ่ายในการใช้จ่ายเงินในแต่ละวันของตัวเอง
7.ควบคุมและตรวจสอบเพื่อปรับปรุงและแก้ไขปัญหาในการใช้จ่ายเงินของตัวเองว่ามีรายการใช้จ่ายอะไรบ้างที่มากจนเกินไปและน้อยจนเกินไปเพื่อจะนำข้อมูลเรานั้นมาปรับเปลี่ยนแก้ไขในส่วนนั้นๆต่อไป

   3. ระบบการสอนของ  The Kemp Model, Dick and Carey
คำตอบ 
Dick and Carey มีรูปแบบการสอนดังต่อไปนี้
1.การกำหนดความมุ่งหมายการสอน (identify instructional goals)
2.การวิเคราะห์การสอน (conduct instructional analysis)
3.ศึกษาพฤติกรรมเบื้องต้นและคุณลักษณะของผู้เรียน
 (identify entry behaviors and characteristics)
4.เขียนจุดมุ่งหมายการเรียน (write performance objectives)
5.สร้างแบบทดสอบอิงเกณฑ์ (develop criterion referenced test)
6.พัฒนายุทธศาสตร์การสอน (develop instructional strategy)
7.ลือกและพัฒนาวัสดุการเรียนการสอน (develop and select instructional materials)
8.ออกแบบและจัดการประเมินระหว่างเรียน (design and conduct summative evaluation)
9.ออกแบบและจัดการประเมินหลังเรียน (design and conduct summative evaluation)
10.แก้ไขปรับปรุงการสอน (revise instruction)

The Kemp Model มีรูปแบบต่อไปนี้
1.ความต้องการในการเรียน จุดมุ่งหมายในการสอน สิ่งสำคัญ/ข้อจำกัด
2.หัวข้อเรื่อง ภารกิจ และจุดประสงค์ทั่วไป
3.ลักษณะของผู้เรียน
4.เนื้อหาวิชาและการวิเคราะห์ภารกิจ
5.วัตถุประสงค์ของการเรียน
6.กิจกรรมการเรียนการสอน
7.ทรัพยากรในการสอน
8.บริการสนับสนุน
9.การประเมินผลการเรียน
10. การทดสอบก่อนการเรียน


4.วิธีระบบอยู่ในพัฒนาการของเทคโนโลยีการศึกษา ลำดับที่เท่าไร
คำตอบ
แนวคิดที่สอง เป็นแนวคิดทางพฤติกรรมศาสตร์ หรือ “Behaviorial Science Concept” เป็นการประยุกต์หลักการทางจิตวิทยา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา ผสมผสานกับแนวคิดแรก (วิทยาศาสตร์กายภาพ) เน้น วิธีการจัดระบบหรือ “Systems Approach” แนวคิดนี้จะเป็นลักษณะการรวม วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ “Instructional Design” หรือ “Instructional System Development” โดยนักเทคโนโลยีการศึกษาทาหน้าที่เป็น วิศวกรทางการศึกษา(Educational Engineer)

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

ประเภทของสื่อการสอน

สื่อการสอน
สื่อการศึกษา/ สื่อการสอน
Educational Media สื่อการศึกษา
Instructional Media สื่อการสอน
สื่อการสอน Instructional Media
ความหมาย
หมายถึงตัวกลางที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ความคิดและทักษะต่าง ๆ
ไปสู่ผู้เรียน
ความสำคัญ
สื่อเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ เพราะสื่อจะเป็นตัวการสำคัญที่นาเอาความรู้ ความคิด ประสบการณ์และทักษะต่าง ๆ ไปสู่ผู้เรียน กระบวนการเรียนการสอนจาเป็นต้องใช้สื่อ สื่อการสอนทาให้ความเป็นนามธรรมไปสู่รูปธรรม
ประเภทของสื่อการสอน
-แบ่งตามลักษณะภายนอกและคุณสมบัติของสื่อการสอน
-แบ่งตามแนวคิดเทคโนโลยีการศึกษา
-แบ่งตามประสบการณ์การเรียนรู้จากธรรมไปสู่นามธรรม
สื่อการสอน
Percival and Ellington (1984) และ De Kieffer(1965)
ได้แบ่งสื่อการสอนตามลักษณะภายนอกและคุณสมบัติของสื่อการสอน มี 3 ประเภท
1.สื่อที่ไม่ต้องฉาย (non projected material)
2.สื่อที่ต้องฉาย (projected material)
3.สื่อที่เกี่ยวกับเสียง (Audio material )
แบ่งตามแนวคิดเทคโนโลยีการศึกษา
1. วัสดุ - สื่อที่ผลิตขึ้น เช่น รูปภาพ แผนภูมิ
2. อุปกรณ์ - เครื่องมืออุปกรณ์ สำเร็จรูป ทั้งที่สามารถใช้ได้ด้วยตนเอง เช่น
หุ่นจาลอง และสื่อที่ต้องใช้ร่วมกับวัสดุ เช่น วีดีทัศน์ สไลด์
3. วิธีการ - กิจกรรม เกม ศูนย์การเรียน ทัศนศึกษา สถานการณ์จาลอง แหล่งความรู้ชุมชน
สื่อการสอนประเภทวัสดุ (Software or Material)
- เป็นสิ่งที่ได้รับบรรจุเนื้อหาสาระเรื่องราวหรือความรู้ไว้ในลักษณะต่าง ๆ
สื่อการสอนอุปกรณ์ (Hardware)
- เป็นตัวผ่านที่ทาให้ข้อมูล ความรู้ หรือสาระ ที่อยู่ในวัสดุสามารถถ่ายทอดออกมา
สื่อการสอนประเภทเทคนิคและวิธีการ(Techniques and Methods)
สื่อการสอนที่มีลักษณะเป็นแนวความคิด รูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอน หรือเทคนิคที่ไม่มีลักษณะทางกายภาพเป็นวัสดุหรืออุปกรณ์ แต่สามารถใช้วัสดุอุปกรณ์มาช่วยในการดาเนินงานได้

สื่อการสอน
แบ่งตามประสบการณ์การเรียนรู้จากรูปธรรมไปสู่นามธรรมของ Edgar Dale

1.ประสบการณ์ตรงที่มีความหมาย (Direct or Purposeful Experiences)
เป็นสื่อการสอนที่สร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนสามารถรับรู้ เรียนรู้ด้วยตนเอง ลงมือปฎิบัติเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จริงและได้สัมผัสด้วยตนเองจากประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น การฝึกทานอาหาร การทดลองต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับโปรเจคเตอร์
2.ประสบการณ์จาลอง (Contrived experience)
เป็นสื่อการสอนที่ผู้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุดแต่ไม่ใช่ความเป็นจริง อาจเป็นสิ่งของจาลอง หรือสถานการณ์จาลอง เช่น การฝึกหัดผ่าตัดตาด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การฝึกหัดขับเครื่องบินด้วยเครื่อง Flight Simulator
3.ประสบการณ์นาฏการหรือการแสดง (Dramatized Experience)
เป็นสื่อการสอนที่ผู้เรียนรู้จากประสบการณ์ ในการแสดงบทบาทสมมุติ หรือการแสดงละคร นิยมใช้สอนในเนื้อหาที่มีข้อจากัดในเรื่องยุคสมัยเวลา
4.การสาธิต (Demonstration)
เป็นสื่อการสอนที่ผู้เรียนเรียนรู้จากการดูการแสดงหรือการกระทาประกอบคาอธิบาย เพื่อให้เห็นลำดับขั้นตอนของการกระทานั้น ๆ เช่นการสาธิตอาบน้าเด็กแรกเกิด
5.การศึกษานอกสถานที่ (Field Trip)
เป็นสื่อการสอนที่จัดให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ ภายนอกชั้นเรียนโดยการท่องเที่ยว หรือการเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ โดยมีการจดบันทึกสิ่งที่พบ ตลอดจนอาจมีการสัมภาษณ์บุคคลที่ดูแลสถานที่เยี่ยมชม
6.นิทรรศการ (Exhibits)
เป็นสื่อการสอนที่จัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆที่ได้จัดแสดงไว้ในลักษณะของนิทรรศการ หรือการจัดป้ายนิเทศ ผู้เรียนจะเรียนรู้จากสาระและเนื้อหาที่แสดงไว้ในนิทรรศการหรือป้านนิเทศ
7.โทรทัศน์ (Television)
เป็นการใช้โทรทัศน์เป็นสื่อในการสอนโดยเฉพาะ เน้นที่โทรทัศน์การศึกษาและโทรทัศน์เพื่อการเรียนการสอน เป็นการสอนหรือให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้เรียนหรือผู้ชมที่อยู่ในห้องเรียนหรือทางบ้าน ใช้ทั้งระบบวงจรปิดและวงจรเปิด ซึ่งการสอนอาจเป็นการบันทึกลงเทปวีดีทัศน์ หรือเป็นรายการสดก็ได้ การใช้สื่อการสอนในกรณีนี้ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการชมโทรทัศน์
8.ภาพยนตร์ (Motion Picture)
เป็นการใช้ภาพยนตร์ที่มีลักษณะเป็นภาพเคลื่อนไหว มีเสียงประกอบ และได้บันทึกลงไว้ในแผ่นฟิล์ม มาเป็นสื่อในการสอน ผู้เรียนจะเรียนรู้หรือได้ประสบการณ์ทั้งจากภาพและเสียง หรือจากภาพอย่างเดียวถ้าเป็นภาพยนตร์เงียบ
9. ภาพนิ่ง วิทยุ และแผ่นเสียง (Recording, Radio, and Still Picture)
เป็นการใช้สื่อการสอนที่เป็นภาพนิ่ง วิทยุ หรือเทปบันทึกเสียง เพื่อให้ประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน สื่อเหล่านี้เป็นสื่อที่ผู้เรียนสัมผัสได้เพียงด้านเดียว เช่น สื่อภาพนิ่งซึ่งอาจเป็นรูปภาพ สไลด์ หรือภาพวาด ภาพล้อ หรือภาพเหมือนจริง ซึ่งผู้เรียนเรียนรู้จากการดูภาพ สื่อวิทยุเป็นสื่อที่ผู้เรียนเรียนรู้จากการฟัง ข้อมูลหรือสาระความรู้ที่บันทึกอยู่ในสื่อประเภทนี้จะสามารถให้ประสบการณ์แก่ผู้เรียนได้ ถึงแม้ผู้เรียนจะอ่านหนังสือไม่ออก ก็สามารถเข้าใจใจเนื้อหาบทเรียนได้ เนื่องจากเป็นการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนโดยผ่านการฟังหรือดูภาพ
10.ทัศนสัญญลักษณ์ (Visual Symbols)
วัสดุกราฟิกทุกประเภท เช่น แผนที่ แผนภูมิ แผนสถิติ แผนภาพ การ์ตูนเรื่อง หรือสัญญลักษณ์รูปแบบต่าง ๆ ที่นามาใช้ในการสื่อความหมาย การใช้สื่อประเภทนี้ผู้เรียนจาเป็นต้องมีพื้นฐานในการทาความเข้าใจสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่นามาใช้ในการสื่อความหมายจึงจะเข้าใจเนื้อหาบทเรียนที่นาเสนอโดยสื่อเป็นอย่างดี เนื้อหาจะถูกสื่อความหมายผ่านทางสัญญลักษณ์ หรืองานกราฟิก ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการตีความสัญลักษณ์ที่นามาใช้สื่อความหมาย
11.วจนสัญญลักษณ์ (Verbal Symbol)
เป็นสื่อการสอนที่อยู่ในรูปแบบของคาพูด คาบรรยาย ตัวหนังสือ ตัวเลข หรือสัญญลักษณ์พิเศษต่าง ๆที่ใช้ในภาษาการเขียน ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนโดยผ่านสื่อประเภทนี้ จัดว่าประสบการณ์ขั้นที่มีความเป็นนามธรรมมากที่สุด